http://www.youtube.com/watch?v=vUl_WPD9WLc
เนื่องจากปัจจุบัน คนไทยส่วนใหญ่นิยมใช้สิ่งของ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า หรือเครื่องใช้อื่นๆ และยังมีเครื่องสำอางอีก ส่วนใหญ่ชอบใช้ของนอก ของต่างประเทศเป็นผู้ผลิต และจะชอบคิดว่า ของคนไทยผลิตนั้นไม่มีคุณภาพ และวัยรุ่นบางคนก็จะมองว่าการใช้ผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์ดังๆของนอกนนั้น ดูดี มีสไตล์ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว สินค้าและเครื่องสำอางค์อีกหลายๆอย่างของคนไทย ที่คนไทยผลิตเอง ใช้เองและยังมีส่งออกไปยังต่างประเทศนั้น มีหลายยี่ห้อ หลายแบรนด์ดังๆ เช่น สินค้า OTOP ของไทยไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า หรืออื่นๆที่สานด้วยมือ ก็ส่งออกไปต่างประเทศอีกมากมาย
ฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่คนไทย ต้องหันมาซื้อ มาใช้ของคนไทยด้วยกัน เพื่อสนับสนุน และเพื่อสร้างเศรษฐกิจไทยให้ดียิ่งๆขึ้นไป
Parisor
วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556
วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556
อิสระ
ยิ้มให้ความทุกข์ แล้วเราจะมีความสุขที่สุดในโลก
ยิ้มให้ความทุกข์
แล้วเราจะมีความสุขที่สุดในโลก
เป็นชื่อหนังสือเล่มหนึ่งที่ฉันเก็บออมเงินของตัวเองเพื่อซื้อมันมาเป็นเจ้าของ
หนังสือเล่มนี้ได้รวมแนวความคิดดีๆหลายอย่าง เช่น
อย่าเอาความสุขของเราไปผูกไว้ที่เท้าของคนอื่น นั้น หมายความว่า
อย่ายึดติดกับคนอื่นมากเกินไปเช่นไม่ว่าเขาจะทำอะไรเราจะต้องรู้สึกไปกับเขาซะทุกอย่าง
มันไม่จำเป็นเลย และอีกหลายๆความคิดดีๆ เช่นอย่าแบกปัญหาเข้าบ้าน
หมายความว่า เมื่อเราเจอปัญหารุมเร้าจากภายนอก
เมื่อเราก้าวเท้าเข้ามาในบ้านแล้วเราต้องทิ้งปัญหาทุกอย่างไว้ข้างหลัง
เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่เราจะแบกมันเข้ามาทำให้บ้านของเราสั่นคลอนยิ่งขึ้น
และ อีกมุมมองหนึ่งที่ฉันชอบ คือ หลังร้องไห้ ต้องแข็งแกร่งให้เป็น
หมายความว่า ต่อให้เราร้องไห้หรือเจอปัญหามากมายซะแค่ไหน
หลังจากที่เสียน้ำตาไปแล้ว เราต้องรู้จักเข้มแข็งขึ้น
อย่าปล่อยให้น้ำตาที่ไหลออกมานั้นสูญเปล่า และยังมี
เรื่องที่เขียนเกี่ยวกับความรักที่ว่า แค่ตัวเองยังดูแลให้ดีไม่ได้
แล้วอวดดีอะไรจะไปดูแลคนอื่น ความหมาย คือ แค่ตัวเราเอง
ยังกินข้าวไม่ตรงตามเวลา หาเวลาพักผ่อนยังไม่ได้ แล้วเราจะเอาอะไรไปดูแลคนอื่น คือ
ต้องดูแลตัวเองให้ดีซะก่อน แล้วค่อยอาสาไปดูแลคนอื่น
และทั้งหมดนี้ คือเหตุผลที่ว่า ทำไมฉันจึงรักหนังสือเล่มนี้มาก
เพราะมันได้รวมแนวคิดดีในชีวิตที่เรามักมองข้ามไป และต้องขอขอบคุณ หนังสือ ยิ้มให้ความทุกข์
แล้วเราจะมีความสุขที่สุดในโลก ทำให้ฉันได้แนวคิดในการดำเนินดำเนินชีวิต
ซึ้งผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ใช้นามปากกาว่า ใบข้าว สำนักพิมพ์ อักขระบันเทิง
สันติภาพในสามจังหวัดชายแดนใต้
ความทรงจำสีเทา
ความทรงจำดีๆ ตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็ก เนื่องจากฉันอาศัยอยู่ หมู่บ้านบาโง ใกล้กับหมูบ้านไทยสุข ซึ้งสองหมู่บ้านนี้คอยเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ และให้ความช่วยเหลือกันและกันอยู่เสมอ ทุกคนอยู่กันฉันพี่น้อง ไม่มีการแบ่งแยกศาสนาแต่อย่างใด และเมื่อมีเรื่องเดือดร้อนอะไรก็คอยให้ความช่วยเหลือกันเสมอ ฉันยังจำได้ดีว่า หมู่บ้านของฉันในอดีตเคยได้รับรางวัลหมู่บ้านปลอดยาเสพติด และรางวัลหมู่บ้านดีเด่นอีกหลายด้าน และยังจำได้ดีว่ามีการจัดกีฬาสานสัมพันธ์ระหว่างไทยพุทธกับไทยมุสลิม และยังจำภาพการนั่งคุยกัน หยอกล้อกันที่ร้านน้ำชาระหว่างคนไทยพุทธกับไทยมุสลิม
ฉันยังจำรอยยิ้มที่คอยมอบให้แก่กันอย่างเป็นมิตร แต่ปัจจุบันนี้คงหารอยยิ้มแบบนั้นยากมาก เพราะต่างฝ่ายก็เกิดความระแวงกันและกัน ไทยพุทธกลัวไทยมุสลิม ไทยมุสลิมกลัวไทยพุทธ เพราะอะไรนะหรือ ก็คงหนีไม่พ้น สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นรายวัน บวกกับข่าวที่นำเสนอทุกวัน ทำให้ความรัก ความไว้ใจ และความเชื่อใจกัน สั่นคลอนทุกวัน เป็นอย่างนี้เพิ่มขึ้นทุกวัน ทำให้ ณ วันนี้เราทั้งสองฝ่ายแทบจะไม่กล้าเข้าหากันอยู่แล้ว ทั้งที่พวกเราไม่ได้มีอะไรบาดหมางกันเลยซักนิด ภาพความทรงจำดีๆเล่านั้นที่ฉันเคยพบ เคยเห็น จึงกลายเป็นแค่ความทรงจำสีเทา ที่นับวันมันก็จะยิ่งเลือนลางทุกวัน จนแทบจะมองไม่เห็น ความรัก ความผูกพันในอดีตอยู่แล้ว
จากความรู้สึกของฉัน ฉันยังหวังว่าฉันจะได้เห็นภาพเหล่านั้นกลับมาอีกครั้ง แต่มันคงเป็นไปได้ยากมาก แต่ฉันก็ยังจะฝันต่อไป เพราะฉันรู้สึกว่า เป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น นับวันมันก็จะยิ่งเลวร้ายขึ้นทุกวัน แต่ถ้าหากพวกเราทุกคนช่วยกันสร้างความรัก ความผูกพันจากจุดเล็กๆ ฉันเชื่อว่าซักวันภาพความทรงจำสีเทาเหล่านั้นมันจะค่อยๆชัดขึ้น ชัดขึ้น จนกลายเป็นภาพสีสดใสอีกครั้ง
อนาคตที่วาดฝัน
อนาคต เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และเราไม่สามารถรู้ได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในภายภาคหน้า แต่สิ่งที่เราสามารถทำได้ คือ ทำวันนี้ให้ดดีที่สุุด
อนาคตของฉันที่ฝันเอาไว้ คือ การเรียนให้จบ แล้วสามารถหางานดีๆทำ และที่สำคัญ สามารถหาเลี้ยงทุกคนในครอบครัวได้ ตอนนี้ ครอบครัวของฉัน มี พ่อ แม่ ฉัน และน้องชายอีกสองคน ซึ่งสิ่งที่ฉันคาดหวังไว้ คือ ฉันเรียนจบและสามารถหางานทำที่สำคัญสามารถหาเงินมาเลี้ยง พ่อ แม่ และส่งน้องอีกสองคนเรียนให้จบเหมือนที่แม่ส่งฉันเรียนทุกวันนี้
อาชีพที่ฉันใฝ่ฝัน คือ นักประชาสัมพันธ์ ฉันอยากเป็นนักประชาสัมพันธ์ หรือนักพูด เพราะฉันรู้สึกว่า คนที่สามารถพูดโน้มน้าวใจคนอื่น หรือพูดให้คนอื่นคล้อยตามได้นั้นเป็นบุคคลที่เก่งและมีพรสวรรค์เป็นอย่างมากมาก เหตุผลที่ฉัน อยากเป็นนักประชาสัมพันธ์ หรือนักพูดที่ดีนั้น เพราะฉันคิดว่าการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือ การหันหน้ามาคุยกัน เพราะถ้าแก้ปัญหาด้วยการใช้กำลัง ก็จะมีผลเสียในหลายๆด้าน แต่ถ้าเรารูจักใช้วาทศิลป์ หรือใช้วาจาที่ดีในการพูด จะทำให้เราสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด และจะได้ผลลัพธ์ที่พอใจกันทุกๆฝ่าย
และอนาคตอีกอย่างหนึ่งที่ฉันคิดว่า ทุกคนจะต้องวาดฝันไว้อย่างดีคือ ครอบครัว หมายถึงครอบครัวของเราเอง ซึ่งฉันคิดว่าผู้หญิงหลายๆคนอยากได้หัวหน้าครอบครัวที่มีความรับผิดชอบ และสามารถเป็นผู้นำที่ดีได้ ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ฝันอยากได้ หัวหน้าครอบครัวที่ดี และฉันชอบฝันอยู่บ่อยๆว่า ฉันอยากมีบ้านหลังเล็กๆ ที่ลายร้อมไปด้วยดอกไม้ และปลูกพืชผักสวนครัวรอบๆบ้าน เป็นบ้านที่อยู่อย่างพอเพียงไม่หรูหรา ใหญ่โต แต่ก็อบอุ่น มี พ่อ แม่ ลูก อยูกันพร้อมหน้า พร้อมตา
และทั้งหมดนี้คือ อนาคตที่ฉันไดวาดฝันไว้ หวังว่าซักวันมันจะเป็นจริง

อาชีพที่ฉันใฝ่ฝัน คือ นักประชาสัมพันธ์ ฉันอยากเป็นนักประชาสัมพันธ์ หรือนักพูด เพราะฉันรู้สึกว่า คนที่สามารถพูดโน้มน้าวใจคนอื่น หรือพูดให้คนอื่นคล้อยตามได้นั้นเป็นบุคคลที่เก่งและมีพรสวรรค์เป็นอย่างมากมาก เหตุผลที่ฉัน อยากเป็นนักประชาสัมพันธ์ หรือนักพูดที่ดีนั้น เพราะฉันคิดว่าการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือ การหันหน้ามาคุยกัน เพราะถ้าแก้ปัญหาด้วยการใช้กำลัง ก็จะมีผลเสียในหลายๆด้าน แต่ถ้าเรารูจักใช้วาทศิลป์ หรือใช้วาจาที่ดีในการพูด จะทำให้เราสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด และจะได้ผลลัพธ์ที่พอใจกันทุกๆฝ่าย
และอนาคตอีกอย่างหนึ่งที่ฉันคิดว่า ทุกคนจะต้องวาดฝันไว้อย่างดีคือ ครอบครัว หมายถึงครอบครัวของเราเอง ซึ่งฉันคิดว่าผู้หญิงหลายๆคนอยากได้หัวหน้าครอบครัวที่มีความรับผิดชอบ และสามารถเป็นผู้นำที่ดีได้ ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ฝันอยากได้ หัวหน้าครอบครัวที่ดี และฉันชอบฝันอยู่บ่อยๆว่า ฉันอยากมีบ้านหลังเล็กๆ ที่ลายร้อมไปด้วยดอกไม้ และปลูกพืชผักสวนครัวรอบๆบ้าน เป็นบ้านที่อยู่อย่างพอเพียงไม่หรูหรา ใหญ่โต แต่ก็อบอุ่น มี พ่อ แม่ ลูก อยูกันพร้อมหน้า พร้อมตา
และทั้งหมดนี้คือ อนาคตที่ฉันไดวาดฝันไว้ หวังว่าซักวันมันจะเป็นจริง
ภูมิใจที่เป็นฉัน
ฉันรู้สึกว่าตัวเองชอบพูด ชอบเล่าเรื่องที่พบเห็นให้ผู้อื่นฟัง บางทีก็เล่าเรื่องละครที่ตัวเองดูให้เพื่อนๆฟัง
และเพื่อนๆก็ชอบบอกว่า ฉันเล่าได้สนุกมาก มีท่าทางประกอบด้วย เพื่อนๆชอบให้ฉันเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง
บอกว่าฉันเล่าได้เพลิดเพลินดี
จากการที่ฉันชอบพูด ชอบเล่าเรื่องให้คนอื่นฟัง ทำให้ฉันค้นพบว่าตัวเองชอบพูดหรือแสดงออกในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีให้คนอื่นๆฟัง และความภาคภูมิใจครั้งแรกของฉันคือ การกล้าแสดงออกโดยการออกไปเล่านิทานให้เพื่อนฟังหน้าห้อง ยิ่งเห็นเพื่อนยิ้ม หัวเราะ อย่างมีความสุข ฉันก็ยิ่งรู้สึกภูมิใจในตัวเอง
และเมื่อฉันเรียนประถม สิ่งที่ทำให้ฉันและครอบครัวภาคภูมิใจเป็นอย่างมากคือ ฉันสอบได้ที่หนึ่งของห้อง ตั้งแต่ชั้นประถมที่ 3 จนถึงชั้นประถมที่ 6 และฉันได้ไปสอบจริยธรรมภาคฤดูร้อนไดที่ 1 และได้ประกาศนียบัตรด้วย
และเมื่อฉันเข้าเรียนมัธยมฉันก็ชื่นชอบกิจกรรมประเภท ประกวดร้องเพลงอนาซีด และประกวดการบรรยายธรรมเป็นภาษมลายู และฉันก็ได้สร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเองและครอบครัวอีกครั้ง เพราะฉันประกวดบรรยายธรรมได้ที่ 1 ทำให้พ่อแม่ภูมิใจมาก ต่อมาฉันก็ได้ประกวดในระดับจังหวัดก็ได้ที่ 1อีก และฉันไปประกวดระดับ5จังหวัด และได้ที่ 2 มาครอง ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจที่สุดของตัวฉันเอง
และจากการที่ฉันเป็นคน กล้าพูด กล้าแสดงออก ทำให้ฉันได้รับหมอบหมายจากการทำงานกลุ่มให้เป็นคนพรีเซนต์งานหน้าห้องตลอด และฉันเองก็ชอบมาก และรูัสึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้ออกไปพูดให้คนอื่นฟัง
ความภาคภูมิใจทั้งหมดที่ฉันพบเจอมาในชีวิตมันเทียบไม่ได้กับความภาคภูมิใจที่ฉันได้เกิดมาเป็นลูกพ่อกับแม่ ^_^
ทะเลฟ้าใส
เด็กคนนี้โตขึ้นมา กินง่าย อยู่ง่าย อาหารจานโปรด คือ เมนูไข่ทุกชนิด และชอบกินผักมาตั้งแต่เด็ก
ตอนอนุบาล เรียนที่ โรงเรียนภัทรียาอนุบาล ตอนประถมเรียนที่ โรงเรียนบ้านมะรือโบตก และมัธยมต้น เรียนที่ โรงเรียนวัฒนธรรมอิสลามพ่อมิ่ง จังหวัดปัตตานี และมัธยมปลายเรียนที่ โรงเรียนอัครศาสน์วิทยา จังหวัดนราธิวาส
และพอโตขึ้นรู้สึกว่าอยากลองใช้ชีวิตอยู้ไกลบ้าน เพราะเพื่อนๆชอบล้อว่าลูกแง๊ติดแม่ ฉันเลยต้ดสินใจไปสมัครเรียนที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร กรุงเทพมหานคร การตัดสินใจครั้งนั้นถือว่า เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะมันทำให้ฉันได้เติบโตและมีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามคือ ฉันอยากกลับมาอยู่บ้าน มากอดแม่ และคิดถึงทุกคนที่บ้าน ตอนปีสอง ฉันเลยตัดสินใจกลับมาเรียนใกล้บ้าน ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา การกลับมาเรียนที่บ้านทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจ
อนาคตของฉัน ที่ฉันหวังไว้ เรียนจบปริญญาตรี และทำงานเป็นนักประชาสัมพันธ์ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้กับกลุ่มประชาชนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหายาเสพติดเพราะปัจจุบันนี้ ยาเสพติดได้ระบาดไปทั่วหมู่บ้านแล้ว โดยเฉพาะในพื้นที่3จังวหวัด และความหวังสูงสุด อยากเลี้ยง พ่อ แม่ ให้สบายกว่าที่ท่านเลี้ยงเรามา

คติประจำใจ
ความดีเปรียบเสหมือนน้ำเปล่าที่ไร้รสชาติ แต่ขาดไม่ได้
และอีกคติหนึ่งคือ
เกิดใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน เกิดเป็นคนอย่ากลัวปัยหา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)